ช่วงฤดูฝนทั้งฝนตกและน้ำท่วมที่พาอาการอันแสนปวดหัวมากับน้ำ ได้กำลังค่อย ๆ ผ่านพ้นไป ช่วงนี้ในบางพื้นที่ก็เริ่มมีอุณหภูมิต่ำลงเป็นสัญญาณของฤดูหนาว(แม้ว่าจะสั้นกว่าปีก่อน ๆ ก็ตาม) พาทำให้เครื่องยนต์ของรถยนต์เราเย็นลงตามไปด้วย กว่าจะสตาร์ทติดได้ก็ชวนหงุดหงิดไม่น้อย บางทีไม่ติดเลย ในตอนนี้เราจึงต้องมาตรวจเช็คและเตรียมพร้อมไปในตัว ว่ามีปัจจัยไหนบ้างที่ส่งผลให้มีอาการเหล่านี้และจะแก้ปัญหาได้อย่างไรบ้าง
อากาศเย็นส่งผลอะไรกับรถยนต์เราบ้าง?
ระบบของเหลวในเครื่องยนต์
น้ำมันเครื่องมีหนืดขึ้น ในวันที่สภาพอากาศที่เย็นสบาย ในวันที่ฝนตกอากาศเย็นและชื้นในที่เย็นจัด อาจทำให้ น้ำมันเครื่องสามารถมีเนื้อที่หนืดและแข็งตัวได้ ทำให้ไหลเวียนได้ไม่ดีเท่าที่ควรและอาจส่งผลทำให้เครื่องยนต์ขัดข้องหรือสตาร์ทติดยาก
แรงดันน้ำมันเครื่องต่ำ เครื่องยนต์ของคุณต้องอาศัยแรงดันน้ำมันเครื่องเพื่อทำให้น้ำมันเครื่องทำงานไหลเวียนได้อย่างราบรื่นซึ่งอากาศที่เย็นจัดนั้นสามารถทำให้ทำงานผิดปกติได้
การแก้ไขปัญหาคือเปลี่ยนมาใช้น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ เพราะน้ำมันเครื่องสังเคราะห์นั้นจะรักษาระดับความหนืดและสามารถต้านทานการแข็งตัวได้ดีกว่า แม้ในวันที่มีสภาพอากาศเย็นจัด เมื่อสตาร์ทรถยนต์ติดแล้วควรให้เวลาวอร์มเครื่องยนต์อย่างน้อย 15-20 นาที เพื่อให้น้ำมันเครื่องที่มีความเหนียวหนืดเนื่องจากอากาศเย็นได้คลายตัวลงก่อนทำการขับขี่
ระบบไฟฟ้า
แบตเตอรี่คายประจุเร็ว ในอุณหภูมิปกติ แบตเตอรี่รถยนต์จะมีการคายประจุออกไปอย่างช้า ๆ เนื่องมาจากการรั่วไหลระหว่างขั้วต่อ ปฏิกิริยาเคมีในที่อากาศเย็นจะคายประจุได้เร็วกว่า ทำให้ความจุของแบตเตอรี่ลดน้อยลง จึงทำให้รถของเราสตาร์ทติดยากขึ้น หรือ อาจจะสตาร์ทไม่ติดเลย
เมื่อสตาร์ทรถยนต์ติดแล้วให้เวลาวอร์มเครื่องยนต์อย่างน้อย 15-20 นาที เพื่อวอร์มแบตเตอรี่
การสตาร์ทรถยนต์สถานการณ์แบบนี้ทำอย่างไร?
หากเป็นรถยนต์ที่มีโช๊คแบบใช้มืออยู่ ดึงโช๊คขึ้นและกดปุ่มสตาร์ทรถ หรือบิดกุญแจสตาร์ทรถ หลังจากนั้นเหยียบคันเร่งจนกว่ารถจะสตาร์ทติด ส่วนรถยนต์ที่มีโช๊คแบบอัตโนมัติ ให้กดปุ่มหรือบิดกุญแจสตาร์ทรถและเหยียบคันเร่งเพื่อสตาร์ทรถให้ติดได้เลย
สาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้รถยนต์สตาร์ทไม่ติดได้
การสตาร์ทรถยนต์ไม่ติดนั้นยังสามารถเกิดจากสาเหตุเหล่านี้ได้เช่นกัน ให้ลองตรวจสอบอาการเบื้องต้น หากไม่แน่ใจให้ช่างผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบโดยละเอียดและแก้ไข
หัวเทียนสึกกร่อน เนื่องจากการใช้งานรถยนต์มาอย่างยาวนาน ซึ่งหัวเทียนควรจะเปลี่ยนทุก ๆ 20,000 – 30,000 กิโลเมตร และควรตรวจสภาพหัวเทียนบ่อย ๆ
ขั้วแบตเตอรี่หลวมและระดับน้ำยาแบตเตอรี่ไม่เพียงพอ แบตเตอรี่ถือเป็นหัวใจหลักอย่างหนึ่งของรถยนต์ที่ทำให้รถใช้งานได้ ดังนั้นจึงควรตรวจสอบสภาพขั้วให้แน่นหนาและระดับน้ำยาแบตเตอรี่ให้มีเพียงพออยู่เสมอ
ไดชาร์จเสีย ไดชาร์จเป็นตัวปั่นไฟให้เข้าไปเก็บในแบตเตอรี่และจ่ายกระแสไฟไปส่วนต่าง ๆ ของรถยนต์ ซึ่งหากไดชาร์จเสียก็จะทำให้รถยนต์สตาร์ทไม่ติด
ไดสตาร์ทหรือมอเตอร์สตาร์ทรถเสีย ไดสตาร์ทมีหน้าที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานกล ทำให้เครื่องยนต์รถติด หากมีอาการเสียก็จะทำให้รถสตาร์ทไม่ติด เมื่อพบปัญหาแล้วให้นำส่งซ่อม
สายไฟขาดหรือระบบไฟฟ้ามีปัญหา เพราะการสตาร์ทรถนั้น ต้องใช้ไฟฟ้าจากเครื่องยนต์ภายในรถ หากมีหนูมากัดสายไฟขาดหรือระบบไฟฟ้ามีปัญหาที่จุดใดจุดหนึ่ง ก็จะทำให้รถสตาร์ทไม่ติด
มีไฟรั่วในรถ ตรวจสอบได้ด้วยการนำรถเข้าไปตรวจสอบที่อู่หรือศูนย์บริการ ถ้ามีไฟรั่ว ต้องหาจุดที่รั่วให้เจอแล้วทำการแก้ไข
น้ำมันในถังหมด ให้เช็กดูน้ำมันคงเหลือในถัง ถ้ามีไฟเตือนรูปเติมน้ำมัน ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า น้ำมันในถังหมดแล้ว ทำให้สตาร์ทอย่างไรก็ไม่ติด หรืออาจเจออาการลูกลอยค้าง ทำให้เห็นว่ายังมีน้ำมันอยู่ แต่ความจริงน้ำมันมันหมดไปแล้ว ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ฃ
ปั๊มติ๊กอาจเสีย เนื่องจากปั๊มติ๊กจะทำหน้าที่ในการส่งน้ำมันจากถังไปทีหัวฉีด ถ้าปั๊มติ๊กไม่ทำงาน ก็จะไม่มีน้ำมันเข้าไปจุดระเบิด สตาร์ทอย่างไรก็ไม่ติด
พบกับข่าวสารล่าสุดทาง LINE! มาเช็คข่าวสารและโปรโมชันดีๆ ใน LINE กัน
เพิ่มบัญชีทางการเป็นเพื่อน คลิกที่นี่!