พบ 149 รายการสำหรับ ""
- แจ้งปิดทำการในวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ถึง 2 มกราคม 2568
แจ้งปิดทำการ ในวันอังคาร ที่ 31 ธันวาคม 2567 ถึงวันพฤหัสบดี ที่ 2 มกราคม 2568 เนื่องในวันปีใหม่ และจะเปิดทำการปกติใน วันศุกร์ ที่ 3 มกราคม 2568 ท่านใดที่ต้องการจองรถหรือนำรถเข้าศูนย์บริการ สามารถนัดหมายเข้ามาก่อนวันหยุดได้เลยนะคะ ขออภัยในความไม่สะดวกค่ะ Isuzu Hat Group เราให้คุณมากกว่าคำว่าบริการ พบกับข่าวสารล่าสุดทาง LINE! มาเช็คข่าวสารและโปรโมชันดีๆ ใน LINE กัน เพิ่มบัญชีทางการเป็นเพื่อน คลิกที่นี่!
- รถยนต์ความร้อนขึ้นควรทำอย่างไร และหากขับต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น?
รถยนต์ที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นเป็นสัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม เหตุการณ์นี้อาจเกิดจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นระบบหล่อเย็นขัดข้อง การขับขี่ในสภาพอากาศร้อนจัด หรือปัญหาทางเทคนิคอื่นๆ การตระหนักรู้และปฏิบัติอย่างถูกต้องเมื่อรถยนต์เริ่มมีอาการความร้อนสูงขึ้นจะช่วยป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับเครื่องยนต์ และรับประกันความปลอดภัยของผู้ขับขี่ได้เป็นอย่างดี วิธีการแก้ไขเมื่อเครื่องยนต์มีความร้อนสูงเกินไป หยุดรถและดับเครื่องยนต์ หากเห็นว่าเข็มความร้อนขึ้นสูงหรือมีไฟเตือนความร้อนที่หน้าปัด ให้รีบหาที่จอดรถที่ปลอดภัยและดับเครื่องยนต์ทันที เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องยนต์เสียหายมากขึ้น เปิดฝากระโปรงรถ หลังจากดับเครื่องยนต์แล้ว ควรเปิดฝากระโปรงรถเพื่อระบายความร้อนออกจากเครื่องยนต์ รอประมาณ 15-30 นาทีให้เครื่องยนต์เย็นลง ตรวจสอบระดับน้ำหล่อเย็น เมื่ออุณหภูมิเริ่มลดลง ให้เปิดฝาหม้อน้ำอย่างระมัดระวัง โดยใช้ผ้าหรือวัสดุที่สามารถกันความร้อนได้ และตรวจสอบระดับน้ำหล่อเย็น หากน้ำต่ำให้เติมน้ำหล่อเย็นในปริมาณที่เหมาะสม ห้ามใช้น้ำเย็นโดยตรงเพราะอาจทำให้หม้อน้ำแตกได้ สตาร์ทเครื่องยนต์อีกครั้ง หลังจากเติมน้ำหล่อเย็นแล้ว ให้สตาร์ทเครื่องยนต์และสังเกตการทำงานของพัดลมระบายความร้อนและระดับน้ำหล่อเย็น หากอุณหภูมิยังสูงอยู่หรือมีการรั่วซึม ควรเรียกช่างหรือรถยกเพื่อให้ตรวจสอบ สิ่งที่อาจเกิดขึ้นหากขับรถต่อไป หม้อน้ำพัง ความร้อนสูงเกินไปจะทำให้หม้อน้ำเกิดความเสียหาย ส่งผลให้ระบบหล่อเย็นไม่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ฝาสูบโก่ง หากเครื่องยนต์ร้อนจัดจนเกินไป อาจทำให้ฝาสูบโก่งหรือปะเก็นชำรุด ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องใช้ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมสูงมาก เกิดอุบัติเหตุ การขับขี่ในสภาพที่รถมีปัญหาอาจทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น เครื่องยนต์ดับกลางถนน ซึ่งอาจนำไปสู่อุบัติเหตุได้ การดูแลรักษารถและตรวจสอบสภาพระบบหล่อเย็นอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันปัญหาโอเวอร์ฮีทในอนาคต การเติมน้ำเปล่าในหม้อน้ำแทนน้ำยาหล่อเย็น การเติมน้ำเปล่าในหม้อน้ำรถยนต์สามารถทำได้ แต่มีข้อควรระวังและไม่แนะนำให้ทำในระยะยาว เนื่องจากน้ำเปล่ามีคุณสมบัติที่ด้อยกว่าน้ำยาหล่อเย็นในหลายด้าน หากน้ำยาหล่อเย็นหมดและไม่มีทางเลือกอื่น น้ำเปล่าสามารถใช้เติมแทนได้ชั่วคราวในสถานการณ์ฉุกเฉินเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องยนต์ร้อนจัดจนเกิดความเสียหาย. ข้อเสียของการใช้น้ำเปล่า จุดเดือดต่ำ น้ำเปล่ามีจุดเดือดประมาณ 100 องศาเซลเซียส ซึ่งต่ำกว่าน้ำยาหล่อเย็นที่มีสารประเภทไกลคอล ทำให้มีโอกาสเดือดและเกิดฟองในระบบหล่อเย็นได้ง่ายกว่า. ไม่มีสารยับยั้งการกัดกร่อน น้ำเปล่าไม่มีสารที่ช่วยป้องกันสนิมและการกัดกร่อน ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาต่างๆ เช่น การสึกหรอของชิ้นส่วนโลหะในระบบหล่อเย็น. เสี่ยงต่อการรั่วซึม การใช้เพียงน้ำเปล่าอาจทำให้เกิดการอุดตันและรั่วซึมในหม้อน้ำและปั๊มน้ำได้. พบกับข่าวสารล่าสุดทาง LINE! มาเช็คข่าวสารและโปรโมชันดีๆ ใน LINE กัน เพิ่มบัญชีทางการเป็นเพื่อน คลิกที่นี่! บทความนี้เรียบเรียงโดย Perplexity และ Claude AI โดยอ้างอิงข้อมูลจาก https://www.yukonlubricants.com/overheat-car/ https://cockpit.co.th/post/1170/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%B4-%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3 https://www.one2car.com/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99-%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87/68266 https://admirecar.com/article56.php https://pttlubricants.pttor.com/th/knowledge_bit_detail/5/95 https://pantip.com/topic/30511232 https://www.tlt.co.th/news-detail/kQZPYxgAoa
- 6 ขั้นตอนปรับท่านั่ง ลดอาการเมื่อยล้าและไม่สบายตัว เวลาขับรถยนต์ทางไกล
การขับรถยนต์ระยะทางไกลเป็นกิจกรรมที่ทำให้หลายคนประสบปัญหาอาการเมื่อยล้าและความไม่สบายตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงระยะเวลานาน การนั่งในท่าเดิมเป็นเวลานานๆ จะส่งผลกระทบต่อระบบกล้ามเนื้อและข้อต่อ ทำให้เกิดความเครียดสะสมและความไม่สบายตัว บทความนี้จะแนะนำ 6 ขั้นตอนที่ช่วยปรับท่านั่งอย่างถูกต้อง เพื่อบรรเทาอาการเมื่อยล้าและสร้างความสบายระหว่างการเดินทาง ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถขับรถได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น วิธีการปรับท่านั่งขับรถ นั่งชิดเต็มเบาะ ให้แน่ใจว่านั่งก้นชิดเต็มเบาะ โดยไม่มีช่องว่างที่หลัง หากมีช่องว่าง ควรใช้หมอนเล็กๆ รองบริเวณหลัง เพื่อช่วยลดการเกร็งกล้ามเนื้อ ปรับระยะห่างของเบาะ ระยะห่างของเบาะควรปรับให้เข่างอเล็กน้อยเมื่อเหยียบเบรกจนสุด เพื่อให้สามารถควบคุมคันเร่งและเบรกได้อย่างถนัด ปรับความสูงของเบาะ ปรับความสูงของเบาะให้อยู่ในระดับที่ศีรษะห่างจากเพดานรถประมาณหนึ่งกำปั้น เพื่อให้มองเห็นถนนได้ชัดเจนและไม่ทำให้รู้สึกอึดอัด ตำแหน่งการจับพวงมาลัย จับพวงมาลัยในตำแหน่ง 3 และ 9 นาฬิกา แขนควรงอเล็กน้อย และไม่ยกสูงเกินระดับไหล่ ซึ่งจะช่วยลดอาการเมื่อยล้าของต้นแขน ปรับพนักพิง พนักพิงควรเอนประมาณ 110 องศา เพื่อให้มีระยะห่างจากพวงมาลัยที่เหมาะสม ช่วยลดอาการปวดเมื่อยหลังได้ คาดเข็มขัดนิรภัย ควรคาดเข็มขัดนิรภัยให้ถูกต้องเพื่อความปลอดภัย ซึ่งจะช่วยลดการเคลื่อนไหวของร่างกายในกรณีเกิดอุบัติเหตุ การออกกำลังกายระหว่างขับรถ เพื่อบรรเทาอาการเมื่อยล้า สามารถทำการยืดเหยียดร่างกายเล็กน้อยขณะหยุดพัก เช่น: ยกแขนขึ้นและลง หมุนคอไปมา ยืดขาออกไปด้านหน้าและกระดกปลายเท้า การปรับท่านั่งและทำการยืดเหยียดเหล่านี้จะช่วยให้คุณรู้สึกสบายตัวมากขึ้นในระหว่างการขับรถทางไกล พบกับข่าวสารล่าสุดทาง LINE! มาเช็คข่าวสารและโปรโมชันดีๆ ใน LINE กัน เพิ่มบัญชีทางการเป็นเพื่อน คลิกที่นี่! บทความนี้เรียบเรียงโดย Perplexity และ Claude AI โดยอ้างอิงข้อมูลจาก [1] https://www.rehabcareclinic.com/blog/6-%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89 [2] https://www.motorexpo.co.th/news/1203 [3] https://www.mrkumka.com/article/car-guide/correct-driving-position/ [4] https://hd.co.th/the-correct-driving-position-prevents-fatigue [5] https://www.ktc.co.th/article/knowledge/safety-first-know-the-correct-driving-posture-atpb
- โปรเด็ดโดนใจ ส่งท้ายปลายปี สำหรับลูกค้าอีซูซุลิสซิ่ง
เงื่อนไขของรายการ 1) สำหรับลูกค้าที่ทำสัญญาเช่าซื้อรถอีซูซุ ตั้งเเต่วันที่ 1 ธ.ค. 2567 - 31 ธ.ค. 2567 (อ้างอิงอัตราดอกเบี้ย ณ เดือนธันวาคม 2567) สำหรับรถปิกอัพอีซูซุ 4 ประตู พลังใหม่…กำหนดโลกอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.99 % ต่อปี ตลอดระยะเวลาของสัญญา เมื่อลูกค้าวางเงินดาวน์ 25% และเลือกผ่อนชำระ 48 งวด(อัตราดอกเบี้ยที่เเท้จริง 1.92%-8.06% ต่อปี ) สำหรับรถอเนกประสงค์อีซูซุมิว-เอ็กซ์ ทุกรุ่น ยกเว้น ใหม่! NEW MU-X THE NEXT PEAK รุ่น RS อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.99% ต่อปี ตลอดระยะเวลาของสัญญา เมื่อลูกค้าวางเงินดาวน์ 30% และเลือกผ่อนชำระ 48 งวด( อัตราดอกเบี้ยที่เเท้จริง 1.92%-7.30% ต่อปี) 2) อัตราดอกเบี้ยที่ระบุในโฆษณาไม่รวมประกันภัยชั้น 1 และ พ.ร.บ. 3) เฉพาะลูกค้าอีซูซุลิสซิ่งที่เป็นสมาชิกยิ่งเข้ายิ่งคุ้ม และเป็นผู้ซื้อรถในสถานะ "เจ้าของคนแรก (First Owner*)" ณ วันที่เซ็นสัญญาเท่านั้น รับสิทธิพิเศษแพ็กเกจอีซูซุสมาร์ทโพรเทคชั่น มูลค่าสูงสุด 11,000 บาท ขยายระยะเวลาคุ้มครองสูงสุด 7 ปี หรือ 160,000 กม. (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งจะถึงก่อน) 4) สำหรับลูกค้าทั่วไปของอีซูซุลิสซิ่ง จะได้รับสิทธิพิเศษแพ็กเกจอีซูซุสมาร์ทโพรเทคชั่น ขยายระยะเวลาคุ้มครองสูงสุด 5 ปี หรือ 160,000 กม. (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งจะถึงก่อน) และสิทธิพิเศษของแพ็กเกจอีซูซุสมาร์ทโพรเทคชั่นที่ลูกค้าจะได้รับจากการทำสัญญาเช่าซื้อกับอีซูซุลิสซิ่ง นี้ไม่รวมคูปองส่วนลดมูลค่า 2,000 บาท กรุณาศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมจากเงื่อนไขและข้อตกลงของโปรแกรมพิเศษ "อีซูซุสมาร์ทโพรเทคชั่น" https://www.isuzu-tis.com/privileges/smart-protection 5) รายการส่งเสริมการขายนี้ไม่รวมรถรับจ้าง รถเช่า และไม่สามารถใช้ร่วมกับรายการส่งเสริมการขายอื่นๆ 6) เงื่อนไขการพิจารณาสินเชื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่บริษัทฯ กำหนด *กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โชว์รูมอีซูซุฮกอันตึ๊งทั้ง 7 สาขา พบกับข่าวสารล่าสุดทาง LINE! มาเช็คข่าวสารและโปรโมชันดีๆ ใน LINE กัน เพิ่มบัญชีทางการเป็นเพื่อน คลิกที่นี่!
- ประกาศแจ้งเตือน : เว็บไซต์แอบอ้างชื่อของกลุ่มอีซูซุฮกอันตึ๊ง เพื่อแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย
เรียน ลูกค้าและผู้มีอุปการคุณทุกท่าน ด้วยบริษัทฯ ได้ตรวจพบว่ามีเว็บไซต์กระทำการอันมิชอบด้วยกฎหมาย โดยได้แอบอ้างชื่อของกลุ่มอีซูซุฮกอันตึ๊ง บนเครื่องมือค้นหาต่าง ๆ จึงขอประกาศแจ้งเตือนให้ลูกค้าและสาธารณชนทราบโดยทั่วกัน บริษัทฯ ขอยืนยันอย่างชัดเจนว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์เหล่านี้แต่อย่างใด และจะดำเนินการทางกฎหมายอย่างเด็ดขาดกับบุคคลที่กระทำการละเมิดสิทธิของบริษัทฯ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ทั้งนี้ ขอความกรุณาลูกค้าทุกท่านโปรดระมัดระวังและตรวจสอบแหล่งข้อมูลให้รอบคอบก่อนการตัดสินใจเข้าถึงเว็บไซต์ใด ๆ หากพบเห็นการกระทำที่น่าสงสัยหรือพบว่ามีการใช้ชื่อบริษัทฯ โดยมิชอบ สามารถแจ้งให้บริษัทฯ รับทราบทันที เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับลูกค้า หากลูกค้าทุกท่านมีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถาม สามารถติดต่อเราผ่านช่องทางการติดต่อได้ทั้ง 7 สาขา ด้วยความห่วงใยจากกลุ่มอีซูซุฮกอันตึ๊ง
- ไฟเตือนบนหน้าปัด มีสัญลักษณ์อะไรบ้างที่ต้องรู้และมีความหมายอย่างไร ?
จะเป็นอย่างไรถ้าวันหนึ่งคุณสตาร์ทรถยนต์ขึ้นมาแล้วพบว่ามีไฟสัญญาณเตือนแสดงขึ้นมา พลางงุนงงว่าไฟสัญลักษณ์เหล่านี้มันหมายความว่าอะไร? รถยนต์ของเรามีความผิดปกติอะไรเกิดขึ้น ใจก็ไม่อยากไปศูนย์บริการบ่อย ๆ เพราะบางทีอาจจะเกิดจากการปรับตั้งค่าเองที่คืนค่าเดิมไฟสัญลักษณ์เตือนก็หายไป แต่จะดีกว่านี้ไหมถ้าเรารู้ความหมายคร่าว ๆ ของสัญลักษณ์เตือนเพื่อช่วยให้เรารับรู้ความผิดปกติของรถยนต์ได้ตรงจุด สัญลักษณ์ไฟเตือนบนหน้าปัดจะถูกแบ่งออกเป็น 3 สี ซึ่งมีความหมายแตกต่างกันไปตามการใช้งานฟังก์ชั่น ความฉุกเฉิน และความเสี่ยงที่อะไหล่จะเสียหาย แต่จะเป็นมาตรฐานเดียวกันในรถยนต์ทุกรุ่น(แม้จะมีรูปร่างสัญลักษณ์แตกต่างกันแต่ก็ไม่ถึงขั้นดูไม่ออกในกลุ่มสัญลักษณ์เตือนที่พบบ่อย) สำหรับรถยนต์อีซูซุจะมีสัญลักษณ์ไฟเตือนและความหมายดังนี้ สีแดง : จะเป็นการแจ้งเตือนเกี่ยวกับระบบของรถยนต์ว่ากำลังมีปัญหาอยู่ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายหรือเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุได้ โดยเฉพาะหากอยู่ระหว่างการขับขี่ควรรีบพักเครื่องยนต์ หรือตรวจสอบระบบของรถให้เร็วที่สุดด้วยการนำรถเข้าศูนย์ซ่อมรถหรืออู่ที่ไว้ใจได้ในเครือของประกันรถยนต์ที่ทำอยู่ให้เร็วที่สุด เพื่อตรวจเช็กสภาพโดยละเอียด สีเหลือง : การแจ้งเตือนเกี่ยวกับระบบรถหรือชิ้นส่วนในรถบางส่วนที่เริ่มมีปัญหา โดยไฟสีเหลืองจะเป็นการเตือนว่าให้ระวัง แต่ยังสามารถที่จะใช้งานหรือขับขี่ได้อยู่ ซึ่งเมื่อขับขี่ถึงจุดหมายแล้วและมีเวลา ควรจะรีบตรวจเช็กหรือนำเข้าศูนย์ซ่อมบริการโดยทันทีเพื่อความปลอดภัย สีเขียว ฟ้า และขาว : สำหรับไฟกลุ่มสีนี้เมื่อแสดงบนหน้าปัดรถจะบ่งบอกถึงสภาพของระบบรถต่าง ๆ รวมไปถึงฟังก์ชันต่าง ๆ ภายในรถที่ยังทำงานอยู่และมีสภาพที่สมบูรณ์ สำหรับผู้ใช้งานรถยนต์อีซูซุสามารถ ดาวน์โหลดคู่มือการใช้รถยนต์ เพื่อศึกษาฟังก์ชั่น และข้อมูลอันเป็นประโยชน์เกี่ยวกับตัวรถยนต์ทั้ง New! Isuzu D-Max และ New! Isuzu MU-X และหากมีข้อสงสัยหรือไม่แน่ใจแนะนำให้นำรถยนต์เข้ามาตรวจสอบที่ศูนย์บริการเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ พบกับข่าวสารล่าสุดทาง LINE! มาเช็คข่าวสารและโปรโมชันดีๆ ใน LINE กัน เพิ่มบัญชีทางการเป็นเพื่อน คลิกที่นี่! อ้างอิงข้อมูล ไฟหน้าปัดรถเตือน บอกอะไร? อันตรายหรือไม่
- แจ้งปิดทำการในวันที่ 10 ธันวาคม 2567
แจ้งปิดทำการ ในวันอังคาร ที่ 10 ธันวาคม 2567 เนื่องในวันรัฐธรรมนูญ และจะเปิดทำการปกติใน วันพุธ ที่ 11 ธันวาคม 2567 ท่านใดที่ต้องการจองรถหรือนำรถเข้าศูนย์บริการสามารถนัดหมายเข้ามาก่อนวันหยุดได้เลยนะคะ ขออภัยในความไม่สะดวกค่ะ Isuzu Hat Group เราให้คุณมากกว่าคำว่าบริการ พบกับข่าวสารล่าสุดทาง LINE! มาเช็คข่าวสารและโปรโมชันดีๆ ใน LINE กัน เพิ่มบัญชีทางการเป็นเพื่อน คลิกที่นี่!
- แจ้งปิดทำการในวันที่ 5 ธันวาคม 2567
แจ้งปิดทำการในวันที่ 5 ธันวาคม 2567 เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ โดยจะเปิดทำการปกติใน วันศุกร์ ที่ 6 ธันวาคม 2567 ท่านใดที่ต้องการจองรถหรือนำรถเข้าศูนย์บริการ สามารถนัดหมายเข้ามาก่อนวันหยุดได้เลยนะคะ ขออภัยในความไม่สะดวกค่ะ Isuzu Hat Group เราให้คุณมากกว่าคำว่าบริการ พบกับข่าวสารล่าสุดทาง LINE! มาเช็คข่าวสารและโปรโมชันดีๆ ใน LINE กัน เพิ่มบัญชีทางการเป็นเพื่อน คลิกที่นี่!
- สัตว์เลื้อยคลานเข้ามาหลบอยู่ในห้องเครื่องยนต์ ปัญหากวนใจที่พบได้บ่อยในฤดูหนาว
ในช่วงฤดูหนาว นอกจากอากาศที่เย็นลงแล้ว เจ้าของรถยนต์ยังต้องระมัดระวังอีกหนึ่งปัญหาที่มักพบบ่อยคือการที่สัตว์เลื้อยคลาน โดยเฉพาะงู มักเข้ามาอาศัยความอบอุ่นในห้องเครื่องยนต์ของรถยนต์เรา สถานการณ์เช่นนี้นับเป็นความท้าทายที่ต้องให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ เนื่องจากอาจก่อให้เกิดอันตรายทั้งต่อตัวสัตว์เองและผู้ใช้รถ บทความนี้จะนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับสาเหตุและแนวทางการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ สาเหตุที่สัตว์เลื้อยคลานเข้ามาในรถช่วงฤดูหนาว การแสวงหาความอบอุ่น เมื่อสภาพอากาศเย็นลง สัตว์เลื้อยคลานจำเป็นต้องหาที่หลบภัยจากความหนาวเย็น โดยเฉพาะในพื้นที่แห้งแล้งหรือมีลมหนาวพัด ทำให้พวกมันมักเลือกที่จะเข้ามาอาศัยความอุ่นในบ้านเรือนหรือรถยนต์ การหาที่พักพิงปลอดภัย รถยนต์นับเป็นสถานที่ที่ให้ทั้งความอบอุ่นและความปลอดภัยจากศัตรูตามธรรมชาติ ทำให้สัตว์เหล่านี้มักเลือกที่จะเข้าไปหลบซ่อนในส่วนของเครื่องยนต์หรือภายในห้องโดยสาร แหล่งอาหาร หากบริเวณที่จอดรถมีหนูหรือสัตว์ขนาดเล็กอื่นๆ ที่เป็นอาหารของงู ก็จะเป็นการดึงดูดให้พวกมันเข้ามาในพื้นที่นั้นมากยิ่งขึ้น วิธีป้องกันและแก้ไขปัญหา เพื่อลดความเสี่ยงจากการที่สัตว์เลื้อยคลานจะเข้ามาในรถยนต์ ท่านสามารถใช้วิธีการดังต่อไปนี้ การเลือกพื้นที่จอดรถอย่างเหมาะสม ควรเลือกจอดรถในบริเวณที่สะอาดและโล่งแจ้ง หลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีวัชพืชหรือเศษขยะซึ่งอาจเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์เลื้อยคลาน การใช้น้ำมันเครื่องที่ใช้แล้ว กลิ่นของน้ำมันเครื่องที่ใช้แล้วสามารถช่วยไล่งูได้ โดยท่านสามารถใช้ผ้าชุบน้ำมันวางไว้โดยรอบบริเวณที่จอดรถ การใช้สมุนไพรไล่งู กลิ่นของกำมะถันและมะกรูดเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ใช้ในการไล่งู เนื่องจากสัตว์เหล่านี้มักหลีกเลี่ยงกลิ่นที่รุนแรง การตรวจสอบรถอย่างสม่ำเสมอ ควรหมั่นตรวจตราภายในรถยนต์เป็นประจำ โดยเฉพาะก่อนการเดินทาง เพื่อความมั่นใจว่าไม่มีสัตว์เลื้อยคลานแอบแฝงอยู่ การมีสัตว์เลี้ยงเป็นผู้ช่วย การเลี้ยงสุนัขหรือแมวในบริเวณบ้านสามารถช่วยเป็นสัญญาณเตือนภัยได้ เนื่องจากสัตว์เลี้ยงเหล่านี้มักส่งเสียงเตือนเมื่อพบสิ่งผิดปกติ การปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้อย่างเคร่งครัดจะช่วยลดโอกาสที่สัตว์เลื้อยคลานจะเข้ามาในรถยนต์ของท่าน อันจะนำมาซึ่งความปลอดภัยของทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร พบกับข่าวสารล่าสุดทาง LINE! มาเช็คข่าวสารและโปรโมชันดีๆ ใน LINE กัน เพิ่มบัญชีทางการเป็นเพื่อน คลิกที่นี่! บทความนี้เรียบเรียงโดย Perplexity และ Claude AI โดยอ้างอิงข้อมูลจาก https://insurverse.co.th/car-insurance/how-to-prevent-snake-in-the-car/ https://th.carro.co/blog/how-to-get-snake-out-garage/ https://mazdacity.co.th/how-to-protect-your-car-from-poisonous-animals/ https://www.thairath.co.th/news/local/east/821549 https://www.one2car.com/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/how-to-protect-car-from-snakes-131091/131091 https://www.ktc.co.th/article/knowledge/snake-in-the-car-what-should-i-do-atpb
- ฤกษ์ออกรถยนต์ เดือนธันวาคม 2567
🚗✨ ฤกษ์ดีออกรถ เดือนธันวาคม 2567 ตามคำแนะนำหมอช้าง! ขอให้ทุกการเดินทางราบรื่นและโชคดีตลอดปี! 🌟 😍เกิดวันไหนควรออกรถวันไหนดี🥰 ❤️คนเกิดวันอาทิตย์ควรออกรถวันจันทร์ วันพฤหัสบดี วันเสาร์ และวันอาทิตย์ ❎ไม่ควรออกรถวันศุกร์ 💛คนเกิดวันจันทร์ ควรออกรถวันจันทร์ วันศุกร์ และวันเสาร์ ❎ไม่ควรออกรถวันอาทิตย์ 🩷คนเกิดวันอังคาร ควรออกรถวันอังคาร วันศุกร์ วันพฤหัสบดี และวันเสาร์ ❎ไม่ควรออกรถวันจันทร์ 💚☀️คนเกิดวันพุธ (กลางวัน) ควรออกรถวันจันทร์ และวันศุกร์ ❎ไม่ควรออกรถวันอังคาร 💚🌑คนเกิดวันพุธ (กลางคืน) ควรออกรถวันจันทร์ และวันศุกร์ ❎ไม่ควรออกรถวันพฤหัสบดี 🧡คนเกิดวันพฤหัสบดี ควรออกรถวันจันทร์ และวันศุกร์ ❎ไม่ควรออกรถวันเสาร์ 💙คนเกิดวันศุกร์ ควรออกรถวันจันทร์ วันอังคาร วันศุกร์ และวันอาทิตย์ ❎ไม่ควรออกรถวันพุธ (กลางคืน) 💜คนเกิดวันเสาร์ ควรออกรถวันจันทร์ ❎ไม่ควรออกรถวันพุธ (กลางวัน) Isuzu Hat Group เราให้คุณมากกว่าคำว่าบริการ🙏 พบกับข่าวสารล่าสุดทาง LINE! มาเช็คข่าวสารและโปรโมชันดีๆ ใน LINE กัน เพิ่มบัญชีทางการเป็นเพื่อน คลิกที่นี่!
- จอดนอนในรถขณะติดเครื่องยนต์ ทำไมอันตรายถึงแก่ชีวิต หากมีความจำเป็นต้องทำอย่างไรบ้าง?
การนอนในรถยนต์มีความเสี่ยงที่อาจนำไปสู่อันตรายถึงชีวิตได้ โดยเฉพาะเมื่อมีการเปิดเครื่องยนต์และเปิดแอร์ขณะนอนหลับ ซึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอันตรายคือการสะสมของก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) ที่เกิดจากการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ของเครื่องยนต์ ทำไมการนอนในรถถึงอันตราย การปล่อยก๊าซพิษ เมื่อเครื่องยนต์ทำงาน จะมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ออกมา หากรถจอดอยู่กับที่และมีการเปิดแอร์ ระบบแอร์จะดูดอากาศจากภายนอกเข้ามา ซึ่งรวมถึงก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ที่เกิดจากท่อไอเสีย ทำให้มีความเสี่ยงสูงที่จะสูดดมก๊าซพิษนี้เข้าไป ผลกระทบต่อสุขภาพ การสูดดมก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์จะทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน ส่งผลให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น อ่อนเพลีย ปวดหัว หายใจติดขัด และในกรณีที่รุนแรงอาจนำไปสู่การหมดสติหรือเสียชีวิตได้ ความเสี่ยงจากการหลับลึก หากเรานอนหลับไปนานหลายชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว อาจทำให้ระดับออกซิเจนในร่างกายลดต่ำลง จนอาจเกิดอันตรายถึงชีวิตได้ วิธีป้องกันหากจำเป็นต้องนอนในรถ ดับเครื่องยนต์ ควรดับเครื่องยนต์ก่อนนอน เพื่อป้องกันการปล่อยก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์เข้ามาในรถ. เปิดกระจก ลดกระจกลงเล็กน้อยเพื่อให้มีการระบายอากาศ และลดความเสี่ยงจากการสะสมของก๊าซพิษ. เลือกจุดจอดที่ปลอดภัย หลีกเลี่ยงการจอดในที่ปิด เช่น ลานจอดรถใต้ดิน ควรหาที่โล่ง ๆ ที่มีอากาศถ่ายเทดี. ตั้งเวลาในการนอน ควรตั้งเวลานอนให้ไม่เกิน 15-20 นาที เพื่อไม่ให้หลับลึกเกินไป. ล็อกรถ เพื่อป้องกันการถูกโจรกรรม ควรล็อกรถทุกครั้งเมื่อจอด พบกับข่าวสารล่าสุดทาง LINE! มาเช็คข่าวสารและโปรโมชันดีๆ ใน LINE กัน เพิ่มบัญชีทางการเป็นเพื่อน คลิกที่นี่! บทความนี้เรียบเรียงโดย Perplexity AI โดยอ้างอิงข้อมูลจาก https://safedrivedlt.com/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%96/ https://www.prakun.com/wp/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%A3/ https://www.roojai.com/article/road-tips/tips-to-sleep-in-car/ https://www.toyotasure.com/contentdetail/contentdetailsui/id20240314-521 https://www.motorexpo.co.th/blog/3556 https://www.thairath.co.th/news/auto/tips/1246792
- รถยนต์ไฮบริด มีไฮบริดแบบไหนบ้าง? แล้วดีกว่ารถยนต์สันดาปปกติอย่างไร?
ในยุคที่ราคาน้ำมันพุ่งสูงและปัญหาสิ่งแวดล้อมกำลังร้อนแรง รถยนต์ไฮบริดกำลังเป็นที่สนใจของคนซื้อรถมากขึ้นเรื่อยๆ แต่หลายคนอาจยังงง ๆ ว่าจริง ๆ แล้วรถไฮบริดคืออะไร? มีกี่แบบ? แต่ละแบบต่างกันยังไง? แล้วมันดีกว่ารถธรรมดาที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ตรงไหน? วันนี้เรามาไขข้อสงสัยกันแบบเข้าใจง่าย ๆ ไม่ต้องเป็นวิศวกรก็เก็ทได้ ว่ารถไฮบริดนี่มันเจ๋งสุด ๆ ยังไง แล้วทำไมหลายคนถึงให้ความสนใจ รถยนต์ไฮบริดเป็นระบบที่รวมพลังงานจากเครื่องยนต์สันดาปภายในและมอเตอร์ไฟฟ้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขับเคลื่อนและลดการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล โดยสามารถแบ่งประเภทของรถยนต์ไฮบริดได้เป็นสามประเภท 1. Full Hybrid (Parallel Hybrid) เป็นรถยนต์ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Engine - ICE) และมอเตอร์ไฟฟ้า โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงและลดการปล่อยมลพิษ การทำงานของ Full Hybrid รถจะใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวในช่วงเริ่มต้น ซึ่งช่วยให้การออกตัวเงียบและประหยัดพลังงาน ในขณะขับขี่ด้วยความเร็วคงที่ เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าจะทำงานร่วมกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิง โดยมอเตอร์ไฟฟ้าจะช่วยลดภาระของเครื่องยนต์ เมื่อมีความต้องการกำลังสูง เช่น การเร่งความเร็ว รถจะใช้ทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อให้ได้อัตราเร่งที่ดีที่สุด ระบบจะใช้เทคโนโลยีการเบรกแบบรีเจนเนอเรทีฟ (regenerative braking) ซึ่งช่วยเปลี่ยนพลังงานจากการเคลื่อนที่กลับมาเป็นพลังงานไฟฟ้าและเก็บไว้ในแบตเตอรี่ เครื่องยนต์จะหยุดทำงาน แต่ระบบสามารถทำงานได้ด้วยพลังงานจากแบตเตอรี่ เช่น การเปิดแอร์ ข้อดีของ Full Hybrid สามารถลดการใช้เชื้อเพลิงได้มากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว การใช้โหมดไฟฟ้าช่วยลดการปล่อยมลพิษในช่วงที่รถวิ่งในเมือง เนื่องจากสามารถใช้เครื่องยนต์เมื่อแบตเตอรี่หมด จึงไม่มีปัญหาเรื่อง "Range Anxiety" ที่พบในรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ 2. Mild Hybrid (MHEV) เป็นระบบที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า แต่มีความแตกต่างจาก Full Hybrid ตรงที่ไม่สามารถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว มอเตอร์ไฟฟ้าในระบบ MHEV จะทำหน้าที่เสริมกำลังให้กับเครื่องยนต์และช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิง การทำงานของ Mild Hybrid มอเตอร์ไฟฟ้าจะช่วยเพิ่มกำลังในช่วงที่เครื่องยนต์ต้องการพลังงานมาก เช่น ขณะเร่งความเร็วหรือขึ้นทางชัน ระบบสามารถหยุดเครื่องยนต์อัตโนมัติเมื่อรถจอดนิ่ง และจะเริ่มทำงานอีกครั้งเมื่อผู้ขับขี่เหยียบคันเร่ง มอเตอร์ไฟฟ้าสามารถเก็บพลังงานจากการเบรกกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งช่วยลดการใช้เชื้อเพลิง รถยนต์ MHEV ไม่สามารถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างเดียว จึงต้องพึ่งพาเครื่องยนต์สันดาปเป็นหลัก ข้อดีของ Mild Hybrid ช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงเมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว โดยทั่วไปแล้ว รถยนต์ MHEV จะมีราคาต่ำกว่ารถ Full Hybrid และ Plug-in Hybrid ไม่มีระบบแบตเตอรี่ขนาดใหญ่เหมือนใน Full Hybrid หรือ Plug-in Hybrid ทำให้บำรุงรักษาได้ง่ายกว่า 3. Plug-in Hybrid (PHEV) เป็นรถยนต์ที่ใช้ทั้งเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) และมอเตอร์ไฟฟ้า โดยมีความสามารถในการชาร์จแบตเตอรี่จากแหล่งภายนอก เช่น สถานีชาร์จหรือปลั๊กไฟบ้าน ซึ่งทำให้สามารถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าได้ไกลกว่ารถยนต์ไฮบริดทั่วไป การทำงานของ Plug-in Hybrid ผู้ขับขี่สามารถชาร์จแบตเตอรี่จากแหล่งพลังงานภายนอก เพื่อเพิ่มระยะทางที่สามารถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว PHEV มักมีหลายโหมดการขับขี่ เช่น โหมดไฟฟ้าล้วน (EV Mode) ที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียว และโหมดไฮบริดที่ใช้ทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า ระบบจะเก็บพลังงานจากการเบรกกลับมาใช้ใหม่เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ ระบบสามารถสลับระหว่างการใช้พลังงานจากแบตเตอรี่และเครื่องยนต์ได้อย่างราบรื่นตามความต้องการของการขับขี่ ข้อดีของ Plug-in Hybrid สามารถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าได้ไกลขึ้น (บางรุ่นอาจถึง 50 กม. หรือมากกว่า) ก่อนที่จะต้องใช้เครื่องยนต์ เมื่อชาร์จแบตเตอรี่เต็มและใช้โหมดไฟฟ้าล้วน จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเติมน้ำมัน สามารถเปลี่ยนไปใช้เครื่องยนต์เมื่อแบตเตอรี่หมด ทำให้ไม่มีปัญหาเรื่อง "Range Anxiety" ที่พบในรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ พบกับข่าวสารล่าสุดทาง LINE! มาเช็คข่าวสารและโปรโมชันดีๆ ใน LINE กัน เพิ่มบัญชีทางการเป็นเพื่อน คลิกที่นี่! บทความนี้เรียบเรียงโดย Perplexity AI โดยอ้างอิงข้อมูลจาก https://www.autoexpress.co.uk/car-news/96154/what-is-a-hybrid-car-mild-hybrids-full-hybrids-and-plug-in-hybrids-explained https://www.caranddriver.com/features/a45498641/types-of-hybrid-cars-pros-and-cons-explained/ https://toyotabuzz.com/blog/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B9%84%E0%B8%AE%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3 https://www.autospinn.com/2024/02/hybrid-system-135332